Home
/Product
/Promotion
/Article
/Help
และไม่มีตัวชี้วัดตัวไหนที่ใช้ทำนายการเคลื่อนไหวของตลาดได้อย่างแม่นยำสม่ำเสมอ
"
แต่การที่ตลาดหุ้นไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว
ไม่ได้หมายความว่า การศึกษาตลาดเป็นเรื่องไร้สาระ
"
สิ่งสำคัญคือ แม้ไม่มีสิ่งใดที่ใช้ได้เสมอ แต่ก็ยังมีหลายสิ่งที่ใช้ได้บ่อยครั้ง การศึกษาประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นแสดงให้เห็นว่า ถึงแม้อนาคตจะไม่ซ้ำรอยอดีตแบบเป๊ะๆ แต่หลักการบางอย่างเมื่อถูกนำมาใช้อย่างสม่ำเสมอ จะสามารถช่วยให้นักลงทุนประสบความสำเร็จมากขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยหลักการที่ว่ามีดังต่อไปนี้
ตลาดมีทั้งช่วงเวลาที่ดีและช่วงเวลาที่เลวร้าย โดยช่วงเวลาทั้งสองไม่สามารถคงอยู่ได้ตลอดไป ช่วงเวลาที่ตลาดผันผวนสูงจะค่อยๆ สงบลงและกลับสู่สภาวะปกติ ส่วนภาวะสงบของตลาดก็จะดำเนินไปจนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ความเสี่ยงเข้ามาสร้างความปั่นป่วนอีกครั้ง
เวลาที่ตลาดปั่นป่วน หุ้นตกแรง เป็นโอกาสในการซื้อหุ้นในราคาต่ำ มูลค่าถูก และเงินปันผลสูง ซึ่งมักนำไปสู่ผลตอบแทนที่ดีกว่าในอนาคต แม้เราจะไม่สามารถจับจังหวะก้นเหวของตลาดได้ และตลาดอาจร่วงต่ออีก แต่โดยทั่วไปเมื่อตลาดหุ้นร่วงลง 10-20% มันมักจะเป็นโอกาสอันดีที่จะเข้าซื้อ
เราควรรู้ว่าหุ้นรายตัวส่วนใหญ่ไม่ให้ผลตอบแทนที่ดี และมีเพียงหุ้นส่วนน้อยที่สร้างผลตอบแทนได้ดีในระยะยาว เวลาเราเห็นว่าดัชนีอย่าง S&P500 ทำผลตอบแทนได้สูง ในความเป็นจริงแล้วมีหุ้นเพียงหยิบมือหนึ่ง (เช่น กลุ่ม 7 นางฟ้า) ที่เป็นตัวแบกดัชนี ในทางกลับกันหุ้นบางตัวตกแล้วไม่ฟื้น ตลาดหุ้นบางประเทศ (เช่น ไทย) อาจให้ผลตอบแทนซบเซายาวนานเป็นสิบปี ดังนั้น
"
การกระจายการลงทุนในหลายภูมิภาค
หลายกลุ่มอุตสาหกรรม และหลายบริษัท
เป็นตัวช่วยลดความเสี่ยงจากการขาดทุนหนักได้
"
นักลงทุนส่วนใหญ่มีผลตอบแทนที่ต่ำกว่าตลาด แต่นั่นไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่มีข้อมูลหรือความรู้ เพราะกองทุนที่บริหารโดยผู้จัดการกองทุนมืออาชีพส่วนใหญ่ก็แพ้ตลาดเหมือนกับนักลงทุนรายย่อย โดยสถาบัน Morningstar จัดทำข้อมูลผลตอบแทนของกองทุนทั่วโลกทุกๆ ปี และเผยให้เห็นความจริงที่น่าตกใจว่า
"
กองทุนกว่า 90% ไม่สามารถเอาชนะดัชนีของตัวเองได้ในระยะเวลาการลงทุน 10 ปี
"
สาเหตุหลักเป็นเรื่องของพฤติกรรมการลงทุนที่ผิดพลาด (behavioral bias) เช่น ความกลัว ความโลภ หรือความมั่นใจเกินเหตุ
ตลาดหุ้นต้องมีการปรับฐานในบางครั้ง เพราะนี่คือธรรมชาติของมัน การเข้าซื้อหุ้นโดยไม่ได้เตรียมใจรับผลขาดทุนถือเป็นข้อผิดพลาดอันดับหนึ่งของนักลงทุนมือใหม่จำนวนมาก
“
หากไม่มีความเสี่ยง ก็ไม่มีผลตอบแทน
”
หากเราย้อนดูวิกฤตเศรษฐกิจในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา เราจะเห็นได้ว่าเหตุปัจจัยที่ฉุดให้ตลาดร่วงลงหนักๆ ในแต่ละครั้งแทบจะไม่ซ้ำเดิม ไม่ว่าจะเป็นวิกฤต Dotcom วิกฤตอสังหาซับไพรม์ วิกฤตหนี้ยูโรโซน วิกฤตเศรษฐกิจจีน หรือวิกฤตโควิด เหตุปัจจัยเหล่านี้ล้วนยากที่จะคาดเดา และการถือเงินสดจำนวนมากเพื่อรอรับมือกับวิกฤตเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง เพราะไม่มีใครคาดคิดได้ว่าวิกฤตจะเข้ามาเมื่อไร
การมีพอร์ตแบบสมดุลที่มีระดับความเสี่ยงเหมาะสมกับตัวเราจะเป็นตัวช่วยให้รับมือกับความเสี่ยงได้ดีขึ้น เพราะเวลาเกิดวิกฤต พอร์ตของเราก็จะไม่เสียหายเกินกว่าที่เรายอมรับได้
"
ตลาดหุ้นเป็นอะไรที่น่าอัศจรรย์มาก
เพราะโอกาสชนะจะสูงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อถือการลงทุนไว้ในระยะยาว
"
โอกาสหรือความน่าจะเป็นที่เราจะได้ผลตอบแทนเป็นบวกจากการลงทุนในตลาดหุ้นจะค่อยๆ เพิ่มจนไปถึง 100% เมื่อเราลงทุนได้นานพอ แต่อย่าลืมว่าหลักการนี้ใช้ได้กับการลงทุนที่มีการกระจายความเสี่ยงเป็นอย่างดีแล้วเท่านั้น หุ้นรายตัวจำนวนมากร่วงลงไปแล้วและไม่กลับมาอีกเลย
ไม่มีใครรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับตลาด เมื่อใดที่นักลงทุนคิดว่าตนเองเข้าใจทุกอย่าง เมื่อนั้นตลาดก็มักจะสอนบทเรียนใหม่เสมอว่า
“
ไม่มี easy money ในโลกของการลงทุน
”
--------------------------------------------------------------------------------
คำเตือน
ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน